DROPSHIP คืออะไร?
MAKEWEBEASY, MARKETING, ONLINE MARKETING, บทความ, บทความธุรกิจกรกฎาคม 25, 2016
เชื่อว่าหลายคนที่อยากจะเริ่มขายของผ่านอินเตอร์เน็ท จะต้องประสบปัญหาขั้นพื้นฐานหลายๆอย่าง เช่น ไม่รู้จะขายอะไรดี กลัวว่าถ้าลงทุนซื้อของมาขายแล้วจะขายไม่ออก ไม่อยากลงทุนเยอะ มีงบในการลงทุนน้อย เป็นต้น
แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะปัญหาเหล่านี้จะหมดไป เมื่อท่านมาใช้บริการที่เรียกว่า "Dropship"
สรุป Dropship คือ?
Dropship เป็นบริการที่ผู้บริการจะมีสต็อคสินค้าให้แก่เรา หน้าที่ของเราเพียงแค่นำสินค้าที่ Dropship มีไว้ให้ มาขายบนเว็บหรือ Social Network ต่างๆ ถ้าให้พูดง่ายๆก็คือ เสมือนว่าเราเป็น”ตัวกลาง” หรือ”นายหน้า” นั่นเอง
โดยที่ทาง Dropship จะให้เรานำข้อมูลต่างๆ เช่น รายละเอียดสินค้า รูปภาพตัวอย่างสินค้า ไปใช้ในเว็บของเราได้เลย เราแทบไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรกับกระบวนการของตัวสินค้าเลย โอ้มันช่างเยี่ยมยอดจริงๆ
ส่วนเงินที่เราได้มานั้น เกิดจากกำไรที่บวกเพิ่มจากราคาสินค้าที่ Dropship กำหนดมาให้ เช่น Dropship อาจตั้งราคาเสื้อให้เรามา 100 บาท เราอาจเพิ่มตอนขายบนเว็บของเราเป็น 110 บาท เท่ากับว่าเราได้กำไร 10 บาท ต่อ 1 ตัว ซึ่งเราสามารถตั้งราคาได้ ตามที่เราต้องการเลย
กระบวนการของ Dropship ทำอย่างไรบ้าง ?
ทีนี้เรามาดูวิธีการใช้บริการ Dropship กันดีกว่า เอาตั้งแต่วิธีหาร้านกันไปเลย!
- ก่อนอื่นเราต้องคิดก่อนว่าเราอยากจะขายอะไรดี ถ้ามีอยู่ในใจแล้ว ลองพิมพ์ใน Google ว่า "Dropship+ชื่อสินค้าที่เราอยากขาย” แต่หากผู้อ่านยังไม่มีสินค้าในดวงใจที่อยากจะขาย ให้พิมพ์คำว่า Dropship ลงไปใน Google เลยครับ
- หลังจากเราเจอร้าน Dropship ที่น่าสนใจแล้ว ให้ลองอ่านเงื่อนไขของร้านนั้นๆก่อน ว่าต้องการอะไรบ้าง ซึ่งแต่ละร้านจะมีความต้องการในการสมัครไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านนั้นๆด้วย เช่น อาจต้องจ่ายรายเดือนในการสมัครหรือจ่ายหนเดียวฟรีตลอดชีพ เป็นต้น
- เมื่อสมัคร Dropship เสร็จแล้ว ให้เราทำการขายสินค้าชิ้นนั้น โดยเสมือนว่าเป็นสินค้าที่เรามีอยู่ในครอบครองจริงๆ ตามช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของเราหรือตาม Facebook Instagram โดยทาง Dropship จะอนุญาติให้เราดึง รูปภาพและรายละเอียดต่างๆของตัวสินค้าไปใส่ในเว็บของเราได้
- หลังจากที่เราขายสินค้าที่วางไว้บนเว็บได้แล้ว ให้ติดต่อกับทาง Dropship เพื่อส่งสินค้าไปให้ลูกค้าของเราโดยตรง โดยที่ทาง Dropship จะเขียนชื่อระบุที่อยู่หน้าซอง เป็นชื่อของเราแทน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความสับสนหรือเกิดการซื้อโดยตรงกับทาง Dropship
โดยที่ทาง Dropship จะให้เรานำข้อมูลต่างๆ เช่น รายละเอียดสินค้า รูปภาพตัวอย่างสินค้า ไปใช้ในเว็บของเราได้เลย เราแทบไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรกับกระบวนการของตัวสินค้าเลย โอ้มันช่างเยี่ยมยอดจริงๆ
ส่วนเงินที่เราได้มานั้น เกิดจากกำไรที่บวกเพิ่มจากราคาสินค้าที่ Dropship กำหนดมาให้ เช่น Dropship อาจตั้งราคาเสื้อให้เรามา 100 บาท เราอาจเพิ่มตอนขายบนเว็บของเราเป็น 110 บาท เท่ากับว่าเราได้กำไร 10 บาท ต่อ 1 ตัว ซึ่งเราสามารถตั้งราคาได้ ตามที่เราต้องการเลย
กระบวนการของ Dropship ทำอย่างไรบ้าง ?
ทีนี้เรามาดูวิธีการใช้บริการ Dropship กันดีกว่า เอาตั้งแต่วิธีหาร้านกันไปเลย!
- ก่อนอื่นเราต้องคิดก่อนว่าเราอยากจะขายอะไรดี ถ้ามีอยู่ในใจแล้ว ลองพิมพ์ใน Google ว่า "Dropship+ชื่อสินค้าที่เราอยากขาย” แต่หากผู้อ่านยังไม่มีสินค้าในดวงใจที่อยากจะขาย ให้พิมพ์คำว่า Dropship ลงไปใน Google เลยครับ
- หลังจากเราเจอร้าน Dropship ที่น่าสนใจแล้ว ให้ลองอ่านเงื่อนไขของร้านนั้นๆก่อน ว่าต้องการอะไรบ้าง ซึ่งแต่ละร้านจะมีความต้องการในการสมัครไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของร้านนั้นๆด้วย เช่น อาจต้องจ่ายรายเดือนในการสมัครหรือจ่ายหนเดียวฟรีตลอดชีพ เป็นต้น
- เมื่อสมัคร Dropship เสร็จแล้ว ให้เราทำการขายสินค้าชิ้นนั้น โดยเสมือนว่าเป็นสินค้าที่เรามีอยู่ในครอบครองจริงๆ ตามช่องทางต่างๆ เช่น เว็บไซต์ของเราหรือตาม Facebook Instagram โดยทาง Dropship จะอนุญาติให้เราดึง รูปภาพและรายละเอียดต่างๆของตัวสินค้าไปใส่ในเว็บของเราได้
- หลังจากที่เราขายสินค้าที่วางไว้บนเว็บได้แล้ว ให้ติดต่อกับทาง Dropship เพื่อส่งสินค้าไปให้ลูกค้าของเราโดยตรง โดยที่ทาง Dropship จะเขียนชื่อระบุที่อยู่หน้าซอง เป็นชื่อของเราแทน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดความสับสนหรือเกิดการซื้อโดยตรงกับทาง Dropship
ภาพแสดงกระบวนการของ Dropship แบบย่อๆ
เท่านี้เราก็สามารถขายของได้โดยที่ไม่ต้องสต็อคของแล้ว ง่ายสุดๆไปเลย แต่แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีข้อดีและข้อเสีย เรามาดูกันว่าข้อดีและข้อเสียของ Dropship มีอะไรบ้าง